วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับสัตว์มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก

ในโลกนี้มีสัตว์หลายประเภททั้งที่ดูน่ารัก สวยงาม แต่ก็มีสัตว์อีกประเภทที่มีพิษร้ายแรง วันนี้ผมขอนำทุกท่านให้รู้จักกับ 10 สุดยอดสัตว์ที่มีพิษที่สุดในโลกมาให้รู้จักกันครับ เผื่อท่านใดเกิดไปเที่ยวแล้วเจอเข้าก็จะได้รู้ทันป้องกันไว้ก่อนครับ

อันดับที่ 10 Puffer Fish ปลาปักเป้า

ปลา ปักเป้า คือสัตว์มีพิษที่มีคนนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะในแถบประเทศญี่ปุ่น (ปลาปักเป้าภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ฟูกุ) และเกาหลี (ในส่วนของภาษาเกาหลีจะเรียกว่า บ๊อค ฮัง) โดนเนื้อปลาปักเป้านั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้มีพิษ แต่ส่วนที่มีพิษก็คือพวกผิวหนังและเครื่องในของปลาปักเป้า แต่พิษเหล่านี้มักจะซึมเข้าไปในเนื้อตอนแล่ พ่อครัวที่จะแล่ปลาปักเป้าต้องมีใบอนุญาติกันเลย ถ้าหากกินพิษของปลาปักเป้าไป อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที

อันดับที่ 9 Poison Dart Frog กบลูกดอก


กบ ลูกดอกสีน้ำเงินนั้นเป็นสัตว์ ที่อยู่ในป่าฝนในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เป็นกบที่มีสีสันสวยงามแต่พิษของมันร้ายแรงมาก พิษของกบลูกดอก 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คนและหนูถึง 20,000 ตัว พิษของมันเพียง 5 ไมโครกรัม (เท่ากับปลายเข็ม) ก็สามารถฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ๆได้ พิษของมันถูกนำมาใช้ ในลูกดอกอาบยาพิษของอินเดียแดง มันจึงถูกเรียกว่ากบลูกดอก

อันดับที่ 8 Inland Taipan งูไทปันโพ้นทะเล


งูไทปันถูกพบได้มากในทวีป ออสเตรเลีย เป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษที่มันปล่อยออกมาจากการกัดหนึ่งครั้ง สามารถฆ่าคนได้ถึง 100 คน หรือหนู 250,000 ตัว พิษของมันสามารถฆ่าคนได้ภายใน 45 นาที แต่อย่างไรก็ตาม งูไทปันเป็นงูที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่เคยมีการบันทึกว่ามีคนตายจากพิษของมัน

อันดับที่ 7 The Brazillian Wandering Spider แมงมุมบราซิล

แมงมุม บราซิลหรือแมงมุมกล้วย ได้รับการบันทึกลงในกินเนสเวิลด์เรคคอรด์ว่าเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรงที่ สุดในโลก พิษของมันมีพิษทำลายประสาท พวกมันจะอันตรายอย่างมากเพราะโดยนิสัยของมันแล้วมันชอบแอบอยู่ตามรองเท้า ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งในรถยนต์ พิษของมันถ้าโดนกัดนอกจากจะทำให้เจ็บปวดอย่างมากแล้ว มันจะทำให้อวัยวะเพศของเราควบคุมไม่ได้ และถ้ารอดตายจากการโดนมันกัด มันก็จะทำให้เราเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ


อันดับที่ 6 Stonefish ปลาหิน

ถ้า แข่งกันในเรื่องของความสวย งามแล้ว ปลาหิน ท่าทางจะแพ้อย่างขาดลอย แต่ถ้าแข่งกันเรื่องความรุนแรงของพิษแล้วละก็ เจ้าปลาหินไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มันได้ชื่อว่าเป็นปลาที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของปลาหินนี้จะอยู่ในหนามของตัวมันเอง มีคนบอกว่า ถ้าคุณโดนมันแทงเข้าละก็ คุณจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเท่าที่มนุษย์จะเจ็บได้เลยทีเดียว นอกจากจะเจ็บสุดๆแล้ว มันจะทำให้คุณเป็นอัมพาต แล้วก็ตายได้ในที่สุด

อันดับที่ 5 Death Stalker Scorpion แมงป่องเดธท์ สตอล์คเกอร์

แมงป่องโดยทั่วไปนั้น ถึงแม้ว่าจะโดนกัด พิษของมันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมนุษย์ได้มากนัก อาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่?มันไม่ใช่สำหรับแมงป่องพันธุ์เดธท์ สตอล์คเกอร์เลย เพราะพิษของมันสามารถทำลายระบบ ประสาทได้ ถ้าคุณโดนมันกัด คุณจะปวดอย่างมหาศาล จากนั้นจะตามมาด้วยอาการไข้ขึ้น เป็นอัมพาต และตายในที่สุด แต่ถึงแม้พิษมันจะร้ายแรงมาก แต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อ เด็ก ทารก คนแก่ อย่างมาก ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ แต่มันก็ทำให้เป็นอัมพาตได้นะ

อันดับที่ 4 Blue-Ringed Octopus ปลาหมึกแหวนน้ำเงิน

ปลา หมึกแหวนน้ำเงินนั้นมีขนาด ที่เล็กมาก ขนาดประมาณลูกกอลฟ์เท่านั้นเอง แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรุนแรงของพิษมันเลย เพราะพิษมันสามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่นาที และที่สำคัญ มันยังไม่มียาแก้พิษ =.= ถ้าโดน ปลาหมึกแหวนน้ำเงินกัดละก็ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากหรอก แต่ว่าพิษมันจะเริ่มทำลายระบบประสาทของคุณ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกอ่อนแอและคุณก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบการหายใจจะเริ่มล้มเหลว หลังจากนั้น ก็ตายในที่สุด

อันดับที่ 3 Marbled Cone Snail หอยเต้าปูนลายหินอ่อน

หอย เต้าปูนตัวเล็กๆ สีสันสวยงาม แต่!!! พิษของมันน่ะเหรอ เพียงแค่หยดเดียว สามารถฆ่าคนได้ถึง 20 คน ถ้าคุณเล่นน้ำที่ทะเลที่มันค่อนข้างอุ่นๆแล้วเห็นเจ้าตัวนี้อยู่ อย่าคิดที่จะหยิบมันมาเล่นเลย แค่ดูมันอยู่ห่างๆก็พอแล้ว เพราะถ้าคุณโดนพิษมันเล่นงานละก็ คุณจะปวด หลังจากนั้นก็จะเริ่มบวม ระบบการหายใจเริ่มล้มเหลว ร่างกายจะคันหยุกหยิก เป็นอัมพาต แล้วก็ตายในที่สุด แต่ยังไงก็ตาม มีรายงานว่ามีแค่ 30 คนเท่านั้นที่ตายเพราะหอยเต้าปูน

อันดับที่ 2 งูจงอาง

งู จงอางหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Ophiophagus hannah เป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดโตสุดที่ 5.6 เมตร งูจงอางนั้น เรารู้กันว่าอาหารโปรดของมันก็คือ งู !!! นั่นหมายความว่ามันกินสัตว์ตระกูลเดียวกัน และเพียงแค่โดนมันกัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนตายได้อย่างง่ายๆ และพิษของมันนั้น สามารถฆ่าช้างที่โตเต็มวัยได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ในส่วนประกอบของมันแตกต่างกับพิษงูโดยทั่วไป ที่สำคัญมันพบได้ทั่วไปในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย

อันดับที่ 1 Box Jellyfish แมงกระพรุนกล่อง

และ แล้วแมงกระพรุนกล่องก็ได้ เป็นแชมป์สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก รายงานว่ามันฆ่าคนไปแล้ว 5,567 คน พิษของมันนั้นจะไปทำลาย หัวใจ ระบบประสาท ผิวหนัง และที่สำคัญ ถ้าโดนพิษมันจะเจ็บปวดอย่างที่สุด ส่วนใหญ่คนที่โดนพิษมันนั้นจะช็อค และหัวใจล้มเหลวก่อนที่จะกลับเข้าถึงฝั่ง แต่ถ้าคุณโดนพิษมันก็ยังมีโอกาสที่จะรอดอยู่นั่นคือ ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชู มาล้างอย่างน้อย 30 วินาที เพราะมันจะทำลายพิษของแมงกระพรุนกล่องก่อนที่มันจะเข้าไปสู่กระแสเลือ

อาหารบำรุงสมอง/กินอะไรแล้วจะฉลาด

ตั้งแต่อดีตกาล มีการค้นคว้าหาอาหารที่จะกินแล้วทำให้สมองมีการทำงานได้มากขึ้น พูดง่ายๆว่ากินแล้วให้เรียนเก่ง หรือจำได้มากขึ้นนั่นเอง

มีการค้นคว้ามากมายถึงอาหาร/สารอาหารหลายๆตัวในเรื่องนี้ เราจะมาดูกันว่า มันมีผลตามที่คุณคิดไว้หรือไม่

1. ซุบไก่สกัด
หลายๆคนคงเคยเห็น โฆษณาที่มีเด็ก มากินแล้วดูเหมือนเด็กจะฉลาดขึ้น ก็ต้องบอกได้เลยครับว่ามันเป็นแค่โฆษณาเท่านั้น

สารอาหารในซุบไก่สกัดนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงโปรทีนที่ย่อย/หมักมาแล้ว มันอาจจะมีประโยชน์บ้างในคนที่ระบบการย่อยอาหารไม่ปกติดี แต่ในคนปกติแล้ว การกินซุบไก่สกัด ไม่ส่งผลประโยชน์อันใดครับ

เมื่อช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาอ้างว่า การกินซุบไก่สกัด จะทำให้เกิดคลื่นในสมองชนิดหนึ่งมากขึ้น ซึ่งเจ้าคลื่นที่ว่านี้ ปกติเราจะเกิดเมื่อเรามีสมาธิ เขาเลยอ้างว่าการกินซุบไก่สกัดจะทำให้มีสมาธิมากขึ้น

แต่นั่นไม่ได้เกี่ยวกันเลยครับ การมีสมาธิมากทำให้เกิดคลื่นนี้ได้จริง แต่ยังไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการมีคลื่นนี้มากแล้วจะทำให้มีสมาธิ มากขึ้นครับ และการมีสมาธิมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องฉลาดมากขึ้นด้วย เช่น เด็กบางคนอาจจะมีสมาธิสูงมากกับการเล่นเกมส์ ผู้ชายบางคนมีสมาธิมากเวลาดูประกวดนางงาม

2. วิทามินบี
วิทามินบี เป็นส่วนช่วยในการทำงานของสมอง เช่น วิทามินบี12 ช่วยให้เซลประสาทแข็งแรง, วิทามินบี6 ช่วยสร้างสารสื่อประสาท

ซึ่งแน่นอนทั้ง 2 อย่าง ไม่ได้มีผลช่วยให้เราฉลาดขึ้นแต่อย่างใดครับ

3. วิทามินรวม
กรณีนี้ก็คล้ายๆกับของวิทามินบีครับ

สิ่งที่วิทามินรวมช่วยได้มีเพียงกรณีเดียวคือ การกินอาหารที่ไม่ครบหมู่ตามที่ร่างกายต้องการเท่านั้น อาการอย่างอื่น เช่น เหนื่อย อ่อนเพลีย ฯลฯ วิทามินไม่มีส่วนช่วยแต่อย่างไร

4. เลซิธิน
เลซิธิน เป็นส่วนประกอบสำคัญในสมอง เชื่อกันว่าการกินแล้วจะไปช่วยเสริมสร้างสมองเราได้

แต่จากการทดลองแล้ว ไม่พบว่ามันมีส่วนช่วยแต่อย่างใด(ไม่งั้นคนที่กินสมองบ่อยๆ ก็จะเก่งมากๆสิ)

ถึงแม้เลซิธินอาจจะมีประโยชน์ในเรื่องหัวใจและหลอดเลือด แต่ไม่ได้มีประโยชน์ในเรื่องความจำและสมองแต่อย่างใดครับ

5. แปะก้วย/กิงโกะ
ตัวนี้เป็นเพียงตัวเดียวในทั้งหมดที่มีความน่าเชื่อถือว่าจะใช้ได้จริงๆครับ

แต่มีข้อแม้ว่า คุณจะต้องเป็นโรค Alzeimer's เท่านั้น และการใช้แปะก้วย ก็จะช่วยแค่ไม่ให้ความจำแย่ลงเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้มีความจำดีขึ้น

นอกจากนี้ การใช้แปะก้วยที่จะให้ได้ผลเรื่องนี้ ต้องใช้สารสกัดจากใบครับ คนที่กินเม็ดแปะก้วย จะไม่ได้ประโยชน์อะไรในเรื่องนี้เลย

6. น้ำมันปลา + Omega-3
ในการสร้างเซลสมอง ร่างกายจำเป้นที่จะต้องใช้ไขมัน 2 ชนิดคือ Omega-3 และ DHA ซึ่งเราพบมากในน้ำมันปลา (และในอาหารอื่นๆอีกหลายชนิด) แล้วเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของ DHA เพื่อสร้างเซลสมองต่อไป

ซึ่งกระบวนการสร้างเซลสมองนี้ เกิดขึ้นในช่วงเด็กทารกจนถึงอายุประมาณ 5 ขวบ ดังนั้นคนที่อายุมากกว่านี้ กินไปก็ไม่ได้ช่วยพัฒนาสมองได้ (อาจจะได้ประโยชน์ในเรื่องของช่วยลดอาการไขมันในเลือดสูง)

ถึงแม้ว่าในอาหารเด็กหลายยี่ห้อ จะมีการผสมน้ำมันปลาลงไปด้วยเพื่อช่วยในจุดนี้ แต่จากการศึกษาแล้วพบว่าน้ำมันปลามีส่วนช่วยเรื่องความจำได้ในช่วงระยะเวลา สั้นๆเท่านั้น ไม่ได้ช่วยก่อให้เกิดเด็กที่ฉลาดกว่าปกติแต่อย่างใด และยังเคยมีคนออกมาเตือนว่า ไม่ควรให้เด็กกินน้ำมันปลา เพราะอาจจะได้รับสารพิษตกค้างที่มากับปลาในปริมาณสูง (ในผู้ใหญ่จะสามารถกำจัดสารพิษออกไปได้ดีกว่าในเด็ก)

สรุป
ในปัจจุบัน ยังไม่พบว่ามีอาหาร/สารอาหารตัวไหนที่มีฤทธิ์ช่วยให้คนเรามีความจำได้มาก ขึ้น หรือทำให้เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น

กระบวนการที่จำทำให้คนเราเก่งขึ้นหรือฉลาดขึ้นนั้น ต้องทำโดยการฝึกครับ ไม่ใช่ด้วยการกิน

ซึ่งวิธีการฝึกนั้น ก้มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้ฉลาดขึ้นได้ ก็เลือกเอาวิธีที่คุณคิดว่าเหมาะกับตัวคุณได้มากที่สุดก็แล้วกันครับ

และที่แน่ๆ ที่คุณคิดว่า จ่ายเงินซื้อของพวกนี้มากินแล้ว คุณจะฉลาดขึ้น แต่ขอให้รู้ไว้ว่าจริงๆแล้วคุณกำลังโง่ลงอย่างแน่นอนครับ

15 เมนูอาหารอันตราย!!!

            1.ขนมปังปี๊บ ไม่ควรบริโภค เพราะกระบวนการผลิตขนมปังบรรจุปี๊บบางแห่งไม่มีคุณภาพ
           
            2.เชอร์รี่บนขนมเค้กตามตลาดสด เชอร์รี่สีแดง สีเขียว วางประดับเหนือครีมสีขาว บนขนมเค้ก ส่วนใหญ่จะย้อมสี ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไต
           
            3.ซูชิในตลาดนัด ของสดบวก กับความร้อนและเชื้อแบคทีเรียในอากาศ ผู้ที่ซื้อไปรับประทานก็จะมีอาการท้องร่วงท้องเสียตามมา
           
            4.เอแคลร์-ลูกชุบ หรือขนมที่มีการปั้นๆ ถูๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย รวมถึงสีที่ใช้ ซึ่งหลายเจ้าไม่ได้ใช้สีผสมอาหาร ใครทานเข้าไปก็เตรียมใจรับสารตะกั่ว
           
            5.ลูกอมสีประหลาด สีเหล่านี้อาจเต็มไปด้วยสารตะกั่วและโลหะหนัก เพื่อสุขภาพที่ดีของปากและฟัน ควรหนีห่างเป็นดีที่สุด
           
            6.อาหารทะเลปลายฤดูร้อน อาจมีเชื้อไวรัส แบคทีเรียมากกว่าปากติ ฉะนั้นโอกาส ท้องเสียจึงมีสูง หากจะทานก็ควรล้างน้ำเกลือให้สะอาด เพื่อชะล้างฝุ่นดินโคลนออกเสีย
           
            7.อาหารสำเร็จรูปไมโครเวฟ ที่มีวางขายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ เพราะเคมีในพลาสติกจะซึมสลายปะปนกับอาหาร สะสมในร่างกาย
           
            8.โยเกิร์ตตามซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้ผลิตบางรายอาจผสมแป้งลงไป เพื่อให้ได้ปริมาณและความข้น ขณะที่ผลไม้เชื่อมที่ใช้ก็ถูกสลายด้วยเกลือแร่และวิตามินซีไปนานแล้ว
           
            9.น้ำปลาเปิดขวด ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันการวางไข่ของแมลงวัน และเชื้อโรคตามอากาศที่ปะปนอยู่ในขวด
           
            10. ขวดซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ที่เปิดใช้แล้ว แม้จะเก็บไว้อย่างดีในตู้เย็น แต่หากเปิดใช้เหลือเกินกว่าวันที่ฉลากระบุ ก็ต้องจัดการทิ้งถังขยะ เพราะเชื้อราตามคอขวด ซอสเหล่านี้ เติบโตเร็ว
           
            11.กระดาษหนังสือพิมพ์ ห่อผักสด เข่งปลา วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป อันนี้กินไม่ได้แต่สัมผัสกับอาหาร เนื่องจากสารพิษจากหมึกจะปนเปื้อนในอาหารได้ ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะนำ ไปห่อผักแช่ตู้เย็น
           
            12.อาหารกระป๋อง ถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น เพราะอากาศจะเร่งปฏิกิริยาให้อาหารปนเปื้อนสารจากกระป๋องได้ง่าย
           
            13.ฟองน้ำล้างจาน นี่ก็ไม่ใช่ของกิน แต่ก็สำคัญเพราะหากนำฟองน้ำล้างจาน กลับมาใช้ซ้ำหลายๆ ครั้ง แบคทีเรียที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้จึงไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง หากต้องการกำจัดเบื้องต้น เคล็ดลับง่ายๆ โดยนำฟองน้ำล้างจานไปแช่ในน้ำส้มสายชู แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
           
            14.อาหารหมักดอง เพราะเชื้อไวรัสในอาหารหมักดองมีฤทธิ์มากพอที่จะทำลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะอาหารหมักดองที่ขายตามตลาด
           
            15.เบียร์สด ซึ่งมีกรรมวิธีการผลิตแตกต่างจากเบียร์บรรจุขวด เพราะจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้ว ก็อาจจะทำให้ได้รับซากยีสต์จากการดื่มด้วย ซึ่งต้องระมัดระวังหากใครมีปัญหาเรื่องภูมิต้านทานแบคทีเรีย

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตรีผลา สูตรสมุนไพรต้านชรายับยังมะเร็ง


ตรีผลา สูตรสมุนไพรต้านชรายับยังมะเร็ง
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า จากการสำรวจสมุนไพรที่มีการจดแจ้งทะเบียนตำรับยาทั่วประเทศ พบว่ามีสมุนไพร 1,927 ตำรับ ที่มีสรรพคุณใช้ในการรักษาโรคมะเร็งทั้งมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูกมะเร็งปอด จึงสั่งการให้คัดเลือกสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษามะเร็งทั้งหมดเพื่อแยกออกเป็นกลุ่มๆ ว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งชนิดใดได้บ้าง
จากนั้นจะมีการเชิญผู้รู้มาสังคายนาสมุนไพร เพื่อพิจารณาในส่วนของสมุนไพรแต่ละกลุ่มว่ามีสรรพคุณรักษามะเร็งได้จริงหรือไม่ โดยคาดว่าจะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาประชุมภายใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งจะเริ่มพิจารณาจากสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมก่อน เพราะจากการพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มที่ใช้สมุนไพรไม่ซับซ้อน และจะใช้ประโยชน์ได้ดี และเมื่อมีการพิจารณาสมุนไพรทุกกลุ่มเสร็จแล้ว ก็จะมีการพิจารณาว่ามีชนิดใดบ้างต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) ต่อไป
พญ.วิลาวัณย์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการนำสมุนไพรมารักษาโรคมะเร็งเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติก็เริ่มเปิดใจ และยอมรับ ซึ่งทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ก็มีการส่งเสริมสมุนไพรที่ผ่านการวิจัยรับรองแล้วว่ามีสรรพคุณที่จะรักษามะเร็งได้จริงด้วย ซึ่งในขณะนี้ก็กำลังส่งเสริมให้มีการดื่มน้ำตรีผลา เนื่องจากพบว่าเป็นสูตรสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก โดยมีส่วนผสมจากสมุนไพร 3 ชนิด คือ มะขามป้อมสมอไทย และสมอพิเภก ซึ่งสรรพคุณของตรีผลานี้จะช่วยในการเสริมภูมิต้านทาน เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นหวัดบ่อยๆ ทั้งยังมีสรรพคุณในการชะลอความชราด้วย ที่สำคัญยังพบว่าตรีผลา มีสรรพคุณในการยับยั้งและต้านเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งในกรณีที่หากเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นมาแล้ว ยังมีผลทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าอีกด้วย เรื่องนี้ยืนยันได้จากผลวิจัยทั้งของคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สำหรับผู้ที่สนใจน้ำตรีผลาสามารถนำไปต้มดื่มเองได้ โดยตวงสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดอัตราส่วน สมอพิเภก 100 กรัม สมอไทย 200 กรัม มะขามป้อม 400 กรัม จากนั้นนำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด ใส่หม้อผสมน้ำ 6 ลิตร ตั้งไฟต้มเดือด 30 นาที เติมน้ำตาลทราย 600 กรัมเกลือ 1 ช้อนชา หากเข้มข้นเกินไปให้เติมน้ำสุกเพิ่มได้ ปรุงรสชาติที่ชอบ กรองผ่านผ้ากรองหรือกระชอน ใส่ภาชนะ สำหรับเตรียมดื่ม ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น แทนเครื่องดื่มทั่วไปเช้า กลางวัน เย็น ซึ่งหากดื่มมากก็ไม่พบอันตรายใดๆอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าว

สูตรขนมหวานไทย : ขนมเปียกปูน



สูตรขนมหวานไทย : ขนมเปียกปูน

     เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง

* แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ

* น้ำตาลมะพร้าว 400 กรัม

* น้ำกาบมะพร้าวเผา 3/4 ถ้วยตวง

* น้ำกะทิ 1 ถ้วยตวง

* น้ำปูนใส 4 ถ้วยตวง

* เนื้อมะพร้าวฝอย 1 1/2 ถ้วย

   (คลุกเกลือนิดหน่อย ไว้สำหรับโรยหน้า)



      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำกาบมะพร้าวไปเผาไฟพอไหม้นิดหน่อยจึงนำไปจุ่มลงในน้ำสะอาด ทิ้งไว้ให้กาบมะพร้าวแห้ง จึงนำไปโขลกให้ละเอียด และร่อนจนได้ผงละเอียด แล้วจึงนำไปผสมกับน้ำสะอาด 3/4 ถ้วยตวง

2. ผสมแป้งข้าวเจ้าและ แป้งเท้ายายม่อม กับน้ำกะทิ, น้ำปูนใส, น้ำกาบมะพร้าว (ที่ทำในขั้นตอนที่ 1)และ น้ำตาลมะพร้าว ผสมจนทุกอย่างละลายเข้ากันดีจึงนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง

3. เมื่อกรองเสร็จแล้ว เทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) นำไปตั้งไฟกวนโดยใช้ไฟแรง กวนสักพักพอแป้งจับตัวกันเป็นก้อน จึงลดไฟลงและ กวนต่อจนส่วนผสมข้นและเหนียว จึงเทใส่ถาดเกลี่ยหน้าให้เรียบหรือเทใส่แบบพิมพ์ที่เตรียมไว้

4. ถ้าเทใส่ถาด รอจนส่วนผสมเย็นจึงตัดเป็นชิ้น โรยด้วยเนื้อมะพร้าวฝอย ตักเป็นชิ้นใส่จานเสริฟ หรือเสริฟทั้งถาดแล้วแต่ความเหมาะสม














สระน้ำร้อน (Hot pool) สระมรกต



สระน้ำร้อน (Hot pool)

ในรูปแบบหนึ่งของพุน้ำร้อน เป็นสระน้ำร้อนทรงกลมใสสะอาด มีอุณหภูมิน้ำ ประมาณ 30-50 องศาเซลเซียส ในบริเวณใกล้เคียงนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 สระ สระมรกตเป็นสระที่นักท่องเที่ยวนิยมมากที่สุด น้ำในสระใสสวยสีมรกต และยังเปลี่ยนสีได้ อันเนื่องมาจากสาหร่าย (Algae) และแบคทีเรีย (Bacteria) ที่อาศัยอยู่ในสระน้ำร้อน ทำให้น้ำในสระมีสีต่าง ๆ กันตามอุณหภูมิของน้ำ บริเวณที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางพุน้ำร้อนซึ่งมีความร้อนสูงกว่าที่อื่นจะมีสีน้ำเงิน และมีสีเขียวเมื่อน้ำอุ่นขึ้น ส่วนตามขอบสระหรือตามร่องน้ำที่ไหลลงสระ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่น้ำร้อนพุขึ้นมานั้น จะมีสีน้ำตาลหรือสีขาว



สระมรกต

ได้รับการประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen ของจังหวัดกระบี่ รอบ ๆ บริเวณเป็นป่าร่มรื่นเขียวครึ้ม มีพรรณไม้ที่น่าสนใจ รวมทั้งนกที่หาดูได้ยากเช่น นกแต้วแร้วท้องดำ นกกระเต็นสร้อยคำสีน้ำตาล และนกเงือกดำ เป็นต้น เส้นทางศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) ระยะทาง ๒.๗ กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะมีป้ายสื่อความหมายที่จะคอยบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในป่าให้นักเดินทางได้ศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง สระมรกต สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปีแต่สภาพที่ดีซึ่งจะเห็นสระเป็นสีเขียวมรกตสดใส มักจะเป็นช่วงเวลาเช้า และเย็น โดยเฉพาะในวันฤดูร้อนที่ท้องฟ้าสดใสปราศจากเมฆฝน

มะม่วงป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม

มะม่วงป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม

มะม่วง นอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีสูงอีกด้วย และในขณะนี้ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ ค้นพบว่ามะม่วงอาจช่วยป้องกัน หรือทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

การศึกษาจัดทำโดยนัก วิทยาศาสตร์อาหารจากศูนย์วิจัย Texas AgriLife โดยทำการทดสอบสารสกัดโพลีฟีนอลในมะม่วง (สารธรรมชาติที่พบในพืช ซึ่งเชื่อว่าช่วยส่งเสริมสุขภาพ) กับเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งต่อมลูกหมากในห้องปฏิบัติการ

ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดจากมะม่วงมีผลต่อมะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมากบ้างเล็กน้อย แต่กลับมีประสิทธิภาพมากกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสามารถทำให้เซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ตายได้ รวมทั้งยังไม่ทำอันตรายกับเซลล์ที่ดี ซึ่งอยู่ติดกับเซลล์มะเร็งด้วย

จากผลการศึกษานี้ นักวิจัยวางแผนต่อไปว่าจะทำการทดลองเล็กๆ ทางคลินิกกับอาสาสมัครที่มีการอักเสบของลำไส้เล็ก และมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เพื่อดูว่ามีผลทางคลินิกหรือไม่?

สำหรับ ประโยชน์ของมะม่วงนั้น นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยัง มีวิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) และมีวิตามินอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น วิตามินอี บี และเค ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นสำหรับหัวใจ ช่วยให้หัวใจแข็งแรง และยังอุดมไปด้วยเส้นใย ช่วยรักษาอาการท้องผูกและกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่แข็งเกร็งได้อีกด้วย



ขั้นตอนการออกกำลังกายที่ถูกวิธี

ขั้นตอนการออกกำลังกาย

ขั้นตอนที่ 1 การอุ่นร่างกาย( Warm up) ก่อนที่จะออกกำลังกาย ต้องการอบอุ่นร่างกายก่อเช่น ถ้าเราจะออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ก็ไม่สมควรที่จะลงวิ่งทันที่ เมื่อไปถึงสนามควรจะอุ่นร่างกาย มีอุณหภูมิสูงขึ้นก่อน ช้าๆ เช่น การเคลื่อนไหวร่างการ สะบัดแข้ง สะบัดขา แกว่งแขน วิ่งเหยาะ อยู่กับที่ ช้าๆ ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน แล้วจึงออกวิ่ง

ดังนั้น การอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายจึงเป็นขั้นตอนแรกที่จะต้องกระทำ

ขั้นตอนที่ 2 เป็นขั้นตอนการออกกำลังอย่างจริงจัง การออกกำลังกายนั้นจะต้องเพียงพอ ทำให้ร่างกายเกิดการเผาไหม้อาหารในร่างกาย โดยใช้ออกซิเจนในอากาศ โดยการหายใจเข้าไปเพื่อทำให้เกิดพลังงาน จนถึงระดับหนึ่ง การที่จะออกกำลังกายได้ถึงระดับนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ออกกำลังกายจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง

ขั้นตอนที่ 3 เป็นขั้นตอนการผ่อนให้เย็นลง คือ เมื่อได้ออกกำลังกายตามกำหนดที่เหมาะสม ตามขั้นตอนที่ 2 แล้วควรจะค่อยๆ ผ่อนการออกกำลังกายลงที่ละน้อย แทนการหยุดการออกกำลังกายโดยทันที ทังนี้เพื่อให้เลือดที่คั่งอยู่ตามกล้ามเนื้อ ได้มีโอกาสกับคืนสู่หัวใจ

บัญญัติ 10 ประการในการออกกำลังกาย

1. ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน

2. ออกกำลังกายครั้งละ 15-30 นาที

3 ออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่าหักโหม

4. ควรอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายและผ่อนกายก่อนเริ่มออกกำลังกาย

5. ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย

6. ออกกำลังกายที่ให้ความสนุกสนาน

7. แต่งกายให้เหมาะสมกับกับชนิดของการออกกำลังกาย

8. ออกกำลังกายในสถานที่ปลอดภัย

9. ควรออกกำลังกายหลากหลายชนิด

10. ผู้สูงอายุ หญิงมีครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว ต้องตรวจสุขภาพก่อนออกกำลังกาย











                                                            



ท่าการฝึกโยคะหรืออาสนะ

                การออกกำลังกายเพื่อทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงในปัจจุบัน อาจจะอาศัยการออกกำลังโดยการวิ่งหรือว่ายน้ำ

การออกกำลังบางชนิดก็อาศัยเครื่องมือช่วยเช่นการใช้รถจักรยาน การวิ่งบนสายพานเป็นต้น แต่การออกกำลังกายของโยคะ หมายถึงการบริหารให้กล้ามเนื้อแข็งแรงแล้วยังเป็นการบริหารจิตใจ และจิตวิญาณให้มีพลัง

                การฝึกท่าโยคะเรียก Asanas เป็นการฝึกท่าโยคะและค้างท่านั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง การฝึกโยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือดและสารอาหารไปเลี้ยงประสาทไขสันหลังเพิ่ม การฝึกโยคะจะทำให้การทำงานของต่อมต่างๆรวมทั้งต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น


ท่าของการฝึกโยคะเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อตามแบบของโยคะ และมีการสอดคล้องกับการหายใจเป็นการรวมกายและจิตร่วมกัน การฝึกท่าโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น ท่าที่ใช้สำหรับการฝึกโยคะมีมากมาย แต่จะแบ่งท่าการฝึกดังนี้ ท่าที่เป็นหลักในการฝึกโยคะมีดังนี้

1. Corpse Pose (shava-âsana)—

2. Forward Bend (pashcîmottâna-âsana)

3.  Back Bend or Cobra (bhujanga-âsana)

4. Sitting Twist (mâtsyendra-âsana)

5. Mountain Pose (pârvata-âsana)—for cultivating stability

6. Tree Pose (vriksha-âsana)—an excellent exercise for improving your sense of balance

7. Standing Forward Bend (pâda-hasta-âsana)

8. Standing Side Bend or Triangle (trikona-âsana)

9. Warrior’s Pose (vîra-bhadra-âsana)

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วิธีการทำเค้ก


ส่วนผสม:

แป้งเค้ก

ผลไม้อบแห้งที่ต้องการ

เนยรสจืด

น้ำตาลทรายแดง

นมจืด

เยมส้ม

เมล็ดมะม่วงหิมมะพานอบ

ไข่ไก่ 3 ฟอง

เกลือ

ผงฟู

น้ำฝึ้ง

เหล้ารำ

ขั้นตอนการทำ:

1.ร่อนของแห้งทั้งหมดลงผสมให้เข้ากัน แป้งเค้ก+น้ำตาลทรายแดง+เกลือ+ผงฟู

2.หั่นผลไม้อบแห้งชิ้นพอประมาณไม่ใหญ่เกิดไป

3.หมักผลไม้อบแห้งด้วยเหล้ารำ

4.ตีเนยด้วยความเร็วสูง จนกว่าเนยเริ่มจะขึ้นฟู ใส่ไข่ไก่ที่ละ 1 ฟอง ใส่น้ำผึ้งที่เตรียมไว้

5.ลดความเร็วในการตี ใส่แป้งและนมสดลงไปที่ละนิด

6.นำผลไม้รวมที่หมักไว้มาใส่ลงในแป้งที่ผสม(เหลือไว้บางส่วนไว้แต่งหน้า) คลุกให้เข้ากัน จากนั้นใส่เมล็ดมะม่วงหิมมะพานลงไป

7.เตรียมพิมพ์โดยรองกระดาษไขเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเค้กติดกับพิมพ์

8.โรยผลไม้อบที่เหลือไว้ด้านบน

9.นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศา เป็นเวลา 40 นาที

10.นำออกจากเตา โดยให้แกะกระดาษไขออกทันที พักทิ้งไว้ให้เย็น

11.ตกแต่งหน้าเค้กด้วยแยมส้ม

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงกุ้งเครฟิช

การเลี้ยงกุ้งเครฟิช ( Crayfish )กุ้งเครฟิชคืออะไร
         กุ้งเครฟิช หมายถึงกุ้งมังกรหรือล็อบเตอร์น้ำจืด ( Fresh–water lobster ) เป็นคนละชนิดกับกุ้งมังกรหรือ ล็อบเตอร์น้ำเค็ม
         เครฟิช จะมีเปลือกหนาเป็นชุดเกราะคลุมส่วนหัว-อกและลำตัว ส่วนขา  มี 2 ประเภทคือขาเดินและขาว่ายน้ำ สำหรับขาเดินจะมี 5 คู่ด้วยกัน ขาเดินคู่แรกสุดเป็นก้ามที่แข็งแรงใหญ่ไว้ป้องกันตัวและต่อสู้  ส่วนขาว่ายน้ำนั้นจะเป็นแผ่นแบนๆ
ถิ่นที่อยู่ในธรรมชาติ
         กุ้งเครฟิช มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเซียตะวันออก และออสเตรเลีย ปัจจุบันมีการค้นพบมากกว่า500 ชนิดแล้ว โดยมากกว่าครึ่งมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ ในธรรมชาติกุ้งเครฟิชจะอาศัยอยู่ตามโขดหินหรือใต้ขอนไม้อยู่ในทั้งลำธาร หนองน้ำ และทะเลสาป
          กุ้งเครฟิชในโลก แบ่งออกเป็นหลายตระกูล ( Genus)  แต่ในที่นี้เราจะขอจำแนกกลุ่มของเครฟิชที่มีในบ้านเราออกเป็น  3 สาย  เพื่อจะได้เข้าใจง่าย ดังนี้
          สายที่ 1 คือ Procambarus.  บ้านเรานิยมเรียกกุ้งสาย พี.  ที่ฟาร์มเรียก กุ้งก้ามหนาม แม่ค้าเรียกกุ้งสี  ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาและยุโรป
          สายที่ 2 คือ Cherax. บ้านเรานิยมเรียกกุ้งสาย ซี. หรือกุ้งก้ามเรียบ ที่ฟาร์มเรียก กุ้งป่า เพราะส่วนมากจับมาและมีถิ่นกำเนิดในโซน ออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี และอินโดนีเซีย
          สายที่ 3 คือ Cambarellus.  บ้านเราเรียกกุ้งเครแคระ  เพราะมีขนาดเล็ก 3-4 ซม.
หลักการเลี้ยงกุ้งเครฟิช
           กุ้งเครฟิชมีหลักการเลี้ยงที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งก็คือดัดแปลงมาจากอุปนิสัยและการอยู่อาศัยของมันเองคือ 
           1.โดยธรรมชาติ กุ้งทุกชนิดชอบออกหากินในเวลาคืน ไม่ชอบแสง ดังนั้นกลางวันอาจจะนอนหรือหลบทั้งวัน  จึงต้องการที่หลบซ่อนและปิดบังจุดที่กุ้งจะปีนหลบหนีได้  ยกเว้นกุ้งที่ได้รับการเพาะเลี้ยงในบ้านเราจะคุ้นเคยกับการเลี้ยงและฝึกอาหาร
           2.มีก้ามเป็นอาวุธไว้ต่อสู้ป้องกันตัวเอง กุ้งตัวผู้จะมีขนาดของก้ามที่ใหญ่โตสง่างาม  สีสรรสวยงามและแข็งแรงกว่ากุ้งตัวเมีย
           3. กุ้งอ่อนแอที่สุดเวลาลอกคราบ  มักจะถูกรุมทำร้ายหรือจับกิน  ดังนั้นอาหารต้องพอเพียง  ตู้ต้องกว้างเพียงพอและมีที่หลบซ่อนที่ปลอดภัย
           4.กุ้งแยกกันกินแยกกันอยู่หรืออาจจับคู่ในระยะสั้นๆ จึงไม่ควรเลี้ยงปนกันหลายตัวในที่แคบๆ ส่วนมากจะกุ้งจะไม่จำว่าเป็นคู่ของมัน ถ้าหิวหรือลอกคราบอาจทำร้ายกันได้เสมอ
         
ตู้เลี้ยงและอ่างเลี้ยงกุ้ง
           1.เราสามารถเลี้ยงกุ้งเครฟิช ในภาชนะใดๆก็ได้ ที่มีการถ่ายเทน้ำที่ดี  ไม่ร้อนเกินไป อุณหภูมิน้ำ ประมาณ  23 -28 องศา  อาจจะเป็นครึ่งบกครึ่งน้ำก็ได้  น้ำครึ่งตู้ น้ำเต็มตู้ก็ได้ หากจะเลี้ยงหลายๆตัวแต่ต้องกว้างขวางเพียงพอ  กุ้งใหญ่ขนาด 3-4 นิ้ว 1 ตัว ใช้พื้นที่อย่างน้อย 1  ฟุต
           2.ถ้าจะเลี้ยงหลายตัวควรเลือกเลี้ยงกุ้ง สายเดียวกัน ไซซ์ไล่เลียกัน เพื่อให้มันสามารถปกป้องตัวเองได้  มิเช่นนั้นกุ้งตัวเล็ก มักจะถูกรังแกและมีโอกาสที่จะถูกจับกิน
           3.ที่หลบซ่อนใช้ขอนไม้ กระถางดินเผา กระถางต้นไม้แตกๆ อุปกรณ์ที่เจาะเป็นโพรง หรือท่อพีวีซีตัด เป็นท่อนๆให้กุ้งหลบอาศัยในเวลากลางวัน กุ้งใหญ่   
          4.ปิดฝาหรือจุดที่กุ้งจะปีนหนีได้

ล็อบเตอร์ฟาร์ม ( Lobster Farm ) ศูนย์รวมกุ้งสวยงามน้ำจืด ,กุ้งเครฟิช  หรือ กุ้งล็อบเตอร์น้ำจืด  สั่งซื้อได้ โทร. 081-8570928 , 089-7426557

วัสดุปูรองพื้น
           การเลี้ยงกุ้งเครฟิช ในตู้ เพื่อความสวยงามควรปูหินกรวดเล็ก รองพื้นตู้ ซึ่งมีมีประโยขน์ต่อกุ้งหลายประการคือ
          1.ทำให้กุ้ง ไม่ตื่นตกใจ และมีสรรสวยงามมากขึ้น กุ้งสามารถปรับตัวตามสิ่งแวดล้อมได้ ถ้าเน้นหินสีดำหรือน้ำตาล จะทำให้กุ้งมีสีเข้มขึ้น
          2.กุ้งป่า ส่วนมากจะขุด กรวดหิน เป็นที่หลบซ่อน
          3.หินกรวดช่วยดูดซับตะกอนและเศษอาหาร  ทำให้น้ำในตู้ใสอยู่เสมอ
การให้อากาศและระบบกรองน้ำ
          ถ้าเราเลี้ยงกุ้งแค่ตัวเดียว  และมีพื้นที่กว้างและดูแลน้ำได้ดี  ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องให้อากาศก็ได้
         แต่ในระบบตู้เลี้ยง ซึ่งเน้นความสวยงาม  และเลี้ยงกุ้งหลายตัว หรือ กั้นตู้  การให้อากาศยังจำเป้นอยู่มาก  แต่กุ้งใช้อากาศน้อยกว่าปลา  สามารถใช้หัวทรายจุ่มลงในน้ำ  3-4 นิ้ว กันฟุ้ง  หรือใช้กรองในตู้  กรองแขวน กรองกล่องได้  ยกเว้นกรองแผ่นพื้นจะโดนกุ้งขุด และกรองฟองน้ำอาจโดนกุ้งแทะเล่น 
น้ำ
          อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมในการเลี้ยงCrayfish คือช่วง 23-28 องศาเซลเซียล ค่าPHที่เหมาะสมคือประมาณ PH7.5 - 8.5ที่มีความกระด้างสูง ผู้เลี้ยงสามารถใส่เกลือลงไปในตู้ได้เล็กน้อย เกลือยังช่วยเสริมแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการลอกคราบและสร้างเปลือกใหม่ด้วย สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ผู้เลี้ยงควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำ  สัปดาห์ละครั้ง ประมาณ 30 -50 %ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงและการให้อาหาร  แต่ควรปรับอุณหภูมิน้ำให้ดี
อาหารการกิน
         กุ้งเครฟิช  กินอาหารได้แทบทุกชนิด นิสัยของกุ้งจะกินอาหารได้ทั้งวัน แต่ในธรรมชาติมันจะกินอาหารประเภทพืชผัก รากไม้ ใบไม้ ผลไม้เป็นหลัก ในที่ เลี้ยงผู้เลี้ยงสามารถให้ ข้าวโพด มันฝรั่ง ถั่วลันเตา ฟักทอง แอปเปิ้ลได้ พรรณไม้น้ำที่ใช้ตกแต่งตู้อาจโดนรื้อทึ้งเป็นอาหารได้  อาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อ ไก่ เนื้อหมู เนื้อปลา เนื้อกุ้งทะเลหรือกุ้งฝอยหั่นชิ้นเล็กๆได้ ถ้าให้ง่ายยิ่งไปกว่านั้นอาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดจมสูตรต่างๆ
การเลี้ยงรวมกับปลาสวยงาม
          ถึงแม้ว่าในธรรมชาตินั้นCrayfish จะเก็บเศษซากพืชซากสัตว์กินเป็นอาหารหลัก แต่ในที่เลี้ยงสถานที่ที่มีอาหารอย่างจำกัดนั้น มันจะจับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ กินเป็นอาหาร โดยเฉพาะกุ้งขนาด  1.5 – 2.5 นิ้ว มักจะชอบไล่จับปลากิน ส่วนกุ้งขนาดใหญ่ นิสัยนักล่ามันจะลดลง  หากต้องการเลี้ยงปลากับกุ้งด้วยกันให้ยึดหลักดังนี้
         1.ขนาดตู้ ต้องกว้างเพียงพออย่างน้อย 24 นิ้ว น้ำลึกอย่างน้อย 1 ฟุต 
         2.เลือกชนิดปลาขนาดเล็กที่ว่ายน้ำเร็ว  หรือหากินกลางน้ำ ปลาที่ว่ายน้ำช้า ปลาที่มีครีบยาวๆ ปลาที่มีนิสัยนอนพื้นตู้ ไม่ควรเลี้ยงเด็ดขาด
         3.ปลาเทศบาล ที่เลี้ยงได้เช่น ปลาซัคเกอร์ น้ำผึ้ง ปลาจิ้งจก
วิธีการเลือกซื้อ Crayfish
         1.เลือกกุ้งที่มีอวัยวะสำคัญต่างๆครบสมบูรณ์คือ ดวงตาและก้ามครบ2 ข้าง ขาเดินครบทั้ง4 คู่
          2.มีเปลือกลำตัวแข็ง ไม่อยู่ในช่วงระยะลอกคราบ ซึ่งร่างกายอ่อนแอ
         3.เลือกกุ้งที่แข็งแรง มีอาการตอบสนองป้องกันตัวเมื่อถูกรบกวน เช่น การยกก้ามคู่ป้องกันตัวเอง หลบหนีด้วยการดีดลำตัวอย่างว่องไวหรือ พยายามปีนป่ายหนีเมื่อนำมาใส่ภาชนะ
          4.เลือกซื้อกุ้งคุณภาพจากร้านและฟาร์มที่ท่านไว้ใจ และสังเกตจากสภาพน้ำและภาชนะที่วางขาย
         5.กรณีที่เป็นกุ้งนำเข้าจากต่างประเทศ  ควรได้รับการปรับสภาพ พักและเปลี่ยนถ่ายน้ำแล้วอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กุ้งเครย์ฟิช

กุ้งยอดฮิต เครย์ฟิช สัตว์น้ำชนิดใหม่ของวัยรุ่น (เทคโนโลยีชาวบ้าน)



               กุ้งเครย์ฟิช กลายเป็นแฟชั่นใหม่ของวัยรุ่นที่ชอบเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามไปซะแล้ว ด้วยความที่มีสีสันหลากหลายสวยงาม และเป็นสัตว์น้ำที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม เลี้ยงง่าย กินซากพืชซากสัตว์เป็นอาหาร ราคาเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายพันบาท ทำให้กลายเป็นที่นิยมกว้างขวางขึ้นในหมู่วัยรุ่น

                กุ้งเครย์ฟิช หรือกุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด มีถิ่นกำเนิดทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชียตะวันออก และออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 500 สายพันธุ์ มักอาศัยอยู่ตามโขดหินหรือใต้ขอนไม้ตามหนองน้ำ หรือลำธาร

"กุ้งเครย์ฟิช ได้รับความนิยมมาหลายเดือนแล้ว โดยมีผู้นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น มาเพาะขยายและจำหน่าย กุ้งเครย์ฟิชมีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม แต่ก็มีความคลาสสิค ซึ่งกุ้งแต่ละตัวจะมีสีสันที่โดดเด่นของตัวเอง หากมีการเลี้ยงดูและให้อาหารเป็นอย่างดี จะทำให้กุ้งขับสีในตัวออกมาชัดเจนสวยงามมากขึ้น" คุณวิโรจน์ กล่าว

กุ้งเครย์ฟิช สามารถนำมาเลี้ยงในตู้ปลาได้ แต่หากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ควรจะเลี้ยงในตู้ปลาขนาดใหญ่ ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว เพราะกุ้งเครย์ฟิช มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และหวงถิ่นที่อยู่ เมื่อมีเนื้อที่กว้างจะทำให้กุ้งแต่ละตัวสามารถสร้างอาณาเขตของตนเองได้ หากนำมาเลี้ยงรวมกันอย่างหนาแน่นจะพบว่า กุ้งเครย์ฟิช ขนาดเล็กมักถูกรังแกและมีโอกาสที่จะถูกกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดใหญ่กว่ากิน เป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ควรใส่ขอนไม้ กระถางต้นไม้แตกๆ หรือท่อ พีวีซี ตัดเป็นท่อนๆ เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชได้หลบอาศัยในเวลากลางวัน เพราะปกติช่วงกลางวันเป็นเวลาที่มันจะอยู่เงียบๆ แต่จะออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนมากกว่า

สำหรับการตกแต่งตู้เลี้ยง กุ้งเครย์ฟิชนั้น หากชอบให้ตู้โล่งก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ควรใส่ท่อพีวีซีลงไปด้วย เพื่อให้กุ้งได้ใช้ในการหลบซ่อนตัว แต่หากต้องการให้ตู้เลี้ยงมีความสวยงามก็สามารถใช้กรวดปูพื้นตู้ได้ แต่มักพบว่า กุ้งเครย์ฟิชมีนิสัยชอบขุดคุ้ยกรวดเพื่อสร้างเป็นที่กำบังในเวลากลางวัน จึงทำให้ไม่เป็นเหมือนครั้งแรกที่แต่งไว้ ทั้งนี้ จึงควรจะปูกรวดให้หนา ไม่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตร เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชขุดกลบลำตัวได้ แต่ไม่ควรปูพื้นตู้ด้วยทราย เพราะมีความหนาแน่นสูง หากกุ้งเครย์ฟิชมุดลงไปแล้วอาจทำให้ขาดอากาศหายใจได้



ผู้เลี้ยงไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปั๊มออกซิเจนในตู้เลี้ยงก็สามารถทำได้หากเลี้ยงจำนวนน้อย แต่หากต้องการจะติดตั้งเครื่องปั๊มออกซิเจนก็ปล่อยอากาศให้น้ำกระเพื่อมเบาๆ ก็พอ ส่วนระบบกรองน้ำ ควรใช้ชนิดกรองบน กรองแขวน หรืออาจจะใช้กรองฟองน้ำที่เป็นตุ้มก็เพียงพอ แต่ไม่ควรใช้ชนิดกรองใต้ตู้ เพราะกุ้งเครย์ฟิชมักจะขุดกรวดขึ้นมา

อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมในการ เลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช คือ ประมาณ 23-28 องศาเซลเซียส ค่าพีเอช ที่เหมาะสมคือ ประมาณ 7.5-10.5 แต่หากน้ำมีความกระด้างสูง ก็สามารถใส่เกลือลงไปในตู้ได้ เพื่อเป็นการปรับสภาพน้ำ นอกจากนี้ เกลือยังช่วยเสริมแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการลอกคราบและสร้างเปลือกใหม่ ด้วย สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนฉับพลัน และน้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด

กุ้งเครย์ฟิช สามารถกินอาหารได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก เศษเนื้อสัตว์ หรือให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดจมก็ได้ เพื่อความสะดวก แต่ไม่ควรให้อาหารบ่อย 2-3 วัน ให้ครั้งหนึ่งก็พอ และควรให้น้อยๆ แต่พอดี เพื่อป้องกันการตกค้างของอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลต่อการเกิดโรคได้ และควรให้อาหารในเวลากลางคืน เพราะตามธรรมชาติ กุ้งเครย์ฟิชเป็นสัตว์ที่หาอาหารกินในเวลากลางคืน

สำหรับการเพาะพันธุ์กุ้งเครย์ฟิชนั้นไม่ยาก เพราะสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และสามารถขยายพันธุ์ได้ง่าย เพียงนำกุ้งเครย์ฟิชตัวผู้กับตัวเมียมาปล่อยรวมกัน แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นตัวผู้กับตัวเมีย โดยสังเกตที่อวัยวะสืบพันธุ์ตรงช่วงขาเดิน กุ้งตัวผู้มีอวัยวะคล้ายตะขอบริเวณขาเดินคู่ที่สองและสาม ซึ่งตะขอนี้เอาไว้เกาะตัวเมียตอนผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะสืบพันธุ์เป็นแผ่นทรงวงรีบริเวณขาเดินคู่ที่ 3
 กุ้งเครย์ฟิช ใช้เวลาผสมพันธุ์นานกว่า 10 นาที หลังจากนั้นสามารถย้ายกุ้งตัวเมียไปยังตู้อนุบาลได้ เพื่อเป็นการเตรียมที่อยู่สำหรับลูกกุ้ง หลังจากนั้น ตัวเมียจะทยอยผลิตไข่ขึ้นมาไว้บริเวณขาว่ายน้ำเป็นกระจุก มองคล้ายพวงองุ่น หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วตัวเมียจะหาที่หลบซ่อนนอนนิ่งไม่ยอมกิน อะไร ระยะเวลาที่ตัวอ่อนใช้ในการพัฒนารูปร่างนั้นจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ปริมาณอาหาร และคุณภาพน้ำด้วย โดยเฉลี่ยไข่จะพัฒนาจนเป็นตัวอ่อนเหมือนโตเต็มวัยภายใน 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น ลูกกุ้งจะถูกปล่อยให้ว่ายน้ำเป็นอิสระ ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้งแม่กุ้งสามารถให้กุ้งได้มากถึง 300 ตัว ซึ่งพ่อแม่กุ้งไม่มีพฤติกรรมกินลูกกุ้งเป็นอาหาร และลูกกุ้งก็จะอยู่ไม่ห่างพ่อแม่นัก เพื่อคอยเก็บเศษอาหารที่เหลือจากพ่อแม่กินเป็นอาหารนั่นเอง

ตัวอ่อนของกุ้งเครย์ฟิช มีขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะกินเศษอาหารก้นตู้เป็นหลัก สามารถให้ไส้เดือนฝอย ไรทะเล เป็นอาหารเสริมได้ แต่ควรระวังเรื่องคุณภาพน้ำด้วย อย่าปล่อยเศษอาหารเหลือทิ้งจนเน่าเสีย ซึ่งควรให้อาหารให้เพียงพอ เพราะตัวอ่อนจะมีพฤติกรรมกินกันเอง

ตู้อนุบาลตัวอ่อนควรมีพื้นที่ และวัสดุหลบซ่อน โดยเฉพาะกระถางต้นไม้ เพราะในช่วงเดือนแรก ลูกกุ้งจะลอกคราบบ่อย ทำให้ลำตัวอ่อนนิ่ม และมีเปอร์เซ็นต์ถูกกินเป็นอาหารมากขึ้น เมื่อลูกกุ้งมีอายุประมาณ 1 เดือน จะเริ่มมีสีสันเหมือนตัวโตเต็มวัย

การลอกคราบเป็นขั้นตอนที่สำคัญใน การเจริญเติบโตของกุ้งเครย์ฟิช เพราะแสดงถึงขนาดลำตัวที่โตมากขึ้น ซึ่งลูกกุ้งจะลอกคราบเดือนละครั้ง โดยมีระยะห่างในการลอกคราบแต่ละครั้งจะยาวนานขึ้นเมื่อกุ้งเจริญเติบโตขึ้น และเมื่อกุ้งเครย์ฟิชโตเต็มที่จะลอกคราบเพียงปีละครั้งเท่านั้น ในการลอกคราบแต่ละครั้ง กุ้งเครย์ฟิชจะมีลำตัวนิ่มและอ่อนแอมาก จึงต้องหาที่ปลอดภัยสำหรับหลบซ่อนและค่อนข้างอยู่นิ่งๆ ประมาณ 2-3 วัน จนกว่าเปลือกจะแข็งเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม หากเห็นว่ากุ้งเครย์ฟิชกำลังลอกคราบ ไม่ควรรบกวน เพราะอาจทำลายความต่อเนื่องของกระบวนการลอกคราบได้ หากกุ้งเครย์ฟิชตกใจอาจทำให้การลอกคราบไม่สมบูรณ์เต็มที่ โดยชิ้นส่วนของเปลือกชุดเก่ายังติดอยู่บริเวณก้าม ในขณะที่เปลือกชุดใหม่เริ่มแข็งตัว อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ อาทิ มีเปลือกสองชั้นทับกัน หรือก้ามบิดเบี้ยวผิดรูปได้

"ไม่ควรเลี้ยง กุ้งเครย์ฟิช ที่มีถิ่นกำเนิดต่างกันไว้ด้วยกัน เพราะพันธุ์ที่มีนิสัยก้าวร้าว จะจับพันธุ์ที่มีนิสัยเรียบร้อยกว่ากินเป็นอาหาร รวมทั้งควรเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดเท่าๆ กัน หรือใกล้เคียงกันไว้ด้วยกัน"



กุ้งเครย์ฟิช ที่วัยรุ่นนิยมเลี้ยงคือ กุ้งเครย์ฟิช สโนไวท์ จะเป็นกุ้งสีขาว บลูสปอร์ตเป็นสีฟ้า ไบรต์ออเรนจ์สีส้ม และอะเรนนี่สีน้ำเงิน ราคาที่จำหน่ายในท้องตลาดมีตั้งแต่ 300-2,000 บาท ต่อตัว แต่หากซื้อไปเลี้ยงเป็นคู่ โดยเฉพาะกุ้งเครย์ฟิชสีน้ำเงินหรืออะเรนนี่ จำหน่ายคู่ละ 3,500บาท เพราะสีน้ำเงินเป็นสีที่นิยมและหายากในขณะนี้

สำหรับผู้อ่านที่สนใจเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช สามารถหาซื้อได้ตามตลาดสัตว์น้ำทั่วไป เมื่อต้องการเลือกซื้อมาเลี้ยงต้องดูความแข็งแรงของตัวกุ้งด้วย หากเห็นว่ากุ้งนั้นไม่ปราดเปรียวหรือเชื่องช้า ก็อย่าเลือกซื้อมาเลี้ยง เพราะเป็นกุ้งที่ไม่แข็งแรง ถ้านำมาเลี้ยง อยู่ได้ไม่นานก็อาจตายได้ ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อกุ้งตัวที่มีสีเข้มทั้งตัว ไม่มีอาการเซื่องซึม ก้ามทั้ง 2 ข้าง ต้องเท่ากัน มีขาครบทุกข้าง และที่สำคัญอย่าลืมให้ความรัก ความใส่ใจกับสัตว์เลี้ยงด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด